วัดเส้าหลินหรือสำนักเส้าหลิน (จีน: 少林寺; พินอิน: Shàolínsì เส้าหลินซื่อ; แต้จิ๋ว: เสี้ยวลิ้มยี่; ฮกเกี้ยน: เชี้ยวหลิมซี; คำแปล: วัดป่าบนเขาเส้าซื่อ) เป็นวัดทางพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีความเก่าแก่อายุมากกว่า 1,500 ปี[1][2][3] ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน หนึ่งในจำนวนห้ายอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน[4] เป็นเทือกเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดทั้งในด้านของประวัติศาสตร์และในแวดวงยุทธภพ ประกอบด้วยยอดเขาน้อยใหญ่จำนวน 72 ยอด แบ่งเป็นสองกลุ่มคือในกลุ่มของเขาไท่ซื่อ (จีน: 太室山) จำนวน 36 ยอด และกลุ่มของเขาเส้าซื่อ (จีน: 少室山) จำนวน 36 ยอด ในอำเภอเติงเฟิง เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเจิ้งโจวและเมืองลั่วหยาง[5] [6] บริเวณรอบ ๆ วัดเส้าหลินเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ใช้สำหรับฝึกวิทยายุทธของหลวงจีน รายล้อมด้วยป่าเจดีย์หรือถ่าหลิน ซึ่งเป็นสุสานของอดีตเจ้าอาวาสและหลวงจีน ซึ่งมีมาตั้งแต่ในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง
วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีนและในต่างประเทศ ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของกระบวนท่าวิทยายุทธ เพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินเป็นอย่างมาก เป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน ปรากฏชื่อในนิยายกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่กล่าวถึงวิชาเพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินอยู่เสมอ[7] โดยเฉพาะนิยายกำลังภายในของกิมย้งเช่น มังกรหยก, จอมใจจอมยุทธ์, จิ้งจอกภูเขาหิมะ เป็นต้น ปัจจุบันมีหลวงจีนที่บวชเพื่อศึกษาธรรมะและกังฟูจำนวน 180 รูป[8] มีหลวงจีน ซือ หย่งซิน (จีน: 釋永信) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน[9] เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งในประเทศจีน ที่ทางรัฐบาลจีนได้ร้องขอต่อองค์กรยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก[10] และได้รับการพิจารณาให้เป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ร่วมกับโบราณสถานอีก 5 แห่ง
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%99ประวัติ[แก้]
วัดเส้าหลิน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1038 ในสมัยของไท่เหอเจ้าผู้ครองรัฐวุ่ยเหนือ ในปี พ.ศ. 929 - พ.ศ. 1077[13] เนื่องจากตั้งอยู่บนยอดเขาเส้าซื่อ (จีน:少室) ทางด้านทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน (จีน: 松山) ครอบคลุมอาณาเขตพื้นที่เกือบทั้งหมดด้วยป่าหรือ "หลิน" (จีน: 林) ในภาษาจีนกลาง จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ วัดเส้าหลิน ในยุคสมัยบุกเบิกยังไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ภายหลังจากสร้างขึ้นมาได้ประมาณ 32 ปี ในปี พ.ศ. 1070 พระโพธิธรรมเถระหรือตั๊กม้อ (สำเนียงแต้จิ๋ว หรือ ต๋าหมอในสำเนียงจีนกลาง คำเรียกในภาษาจีนทั้งสองสำเนียงมาจากคำว่า (โพธิ)"ธรรมะ" ในภาษาสันสกฤต )พระภิกษุจากประเทศอินเดีย ได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พุทธศาสนานิกายเซนที่วัดเส้าหลินเป็นครั้งแรก[14] อีกทั้งแลเห็นว่าวัดเส้าหลินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ มีความสงบร่มรื่น เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมจนบรรลุธรรมตามนัยของพุทธศาสนานิกายเซน (เซน เป็นสำเนียงญี่ปุ่น ตรงกับคำว่า ฉาน ในสำเนียงจีนกลาง หรือ เซี้ยง ในสำเนียงแต้จิ๋ว รากศัพท์มาจากคำว่า ธยานะ ในภาษาสันสกฤต หรือ ฌาน ในภาษาบาลีนั่นเอง) ปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงเข้าพำนักและดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์แรก ทำให้ชื่อเสียงของวัดเส้าหลิน อยู่ในฐานะเป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธนิกายเซนในประเทศจีน กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น[15]
ตั๊กม้อสร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่ชาวจีนเป็นอันมาก โดยเฉพาะการพัฒนาวิทยายุทธเส้าหลินให้ลึกล้ำขึ้นกว่าเดิม ถ่ายทอดธรรมะและวิชากังฟูให้แก่หลวงจีนได้ฝึกฝนเพื่อออกกำลังกายและฝึกสมาธิ เนื่องจากเห็นว่าหลวงจีนส่วนใหญ่มีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถนั่งสมาธิวิปัสสนาและเจริญกรรมฐานอย่างเคร่งครัด จึงหัดให้หลวงจีนเริ่มฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งควบคู่กับการปฏิบัติธรรม การฝึกสอนวิทยายุทธและกังฟูของตั๊กม้อ ได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นที่มาของวิทยายุทธเส้าหลินที่สง่างามและทรงพลังเช่น หมัดเส้าหลิน (อังกฤษ: Shaolin Chuan) หรือเพลงหมัดเส้าหลิน (อังกฤษ: Shaolin Ch'uan Fa) รวมทั้งหมด 18 กระบวนท่า อีกทั้งเป็นการปฏิรูปวิทยายุทธครั้งสำคัญเช่น การขยายท่าฝ่ามืออรหันต์จาก 18 ท่า เป็น 72 ท่า[16] โดยเล็งเห็นว่าวิชากังฟูเส้าหลิน ควรได้รับการถ่ายทอดให้ขยายออกไป เช่นเดียวกับนิกายเซนที่ตั๊กม้อได้เดินทางมาเผยแผ่
เจตนารมณ์ของตั๊กม้อประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง ศิษย์ของตั๊กม้อเมื่อลาสิกขาออกไปจากวัดเส้าหลินแล้ว ส่วนใหญ่กลายเป็นวีรบุรุษของชาวจีนที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเช่น งักฮุยหรือแม้กระทั่งจางซานฟง แม้ในประเทศจีนจะมีวัดนิกายต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากความเก่าแก่ประกอบกับชื่อเสียงอันโด่งดัง เลื่องลือกล่าวขานในด้านวิชากังฟูของเส้าหลิน เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลวงจีนหลาย ๆ องค์ นิยมเดินทางมาบวชเรียนเพื่อศึกษาธรรมะ กระบวนท่าวิทยายุทธและกังฟู ทำให้ชาวจีนจำนวนมากเริ่มเดินทางมาวัดเส้าหลินเพื่อฝึกฝนวิชากังฟูของตั๊กม้อ จนได้รับความนิยมอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว และกลายเป็นมหาอำนาจกำลังภายในของจีนมากว่าพันปี รวมทั้งยังเกิดสาขาของวัดเส้าหลินอีกนับสิบแห่งทั่วทุกมุมของโลก[17]
ตามตำนานจีนโบราณ ศิลปะการต่อสู้และกังฟูเส้าหลิน มีต้นกำเนิดจากการที่หลวงจีนใช้วิชากังฟู ฝึกฝนร่างกายและออกกำลังกาย เพื่อเป็นการขจัดความเมื่อยล้าจากการนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐานเป็นเวลานาน ต่อมาได้มีการพัฒนาจนกลายเป็นรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดเส้าหลิน ชาวจีนเชื่อกันว่าผู้ที่คิดค้นสุดยอดวิชากังฟูคือตั๊กม้อ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ตามบันทึกบน "ถังไท่จงชื่อเส้าหลินซื่อจู่เจี้ยวเปย" แท่นหินสลักคำสอนหลักของวัดเส้าหลินระบุว่า หลวงจีน 13 องค์ ได้เข้าช่วยเหลือจักรพรรดิถังไท่จงหรือหลี่ซื่อหมินแห่งราชวงศ์ถัง ในระหว่างปี พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1450 ฝ่าวงล้อมในระหว่างการสู้รบกับทหารของราชวงศ์สุยตอนปลายจนได้รับชัยชนะ[18]
ต่อมาถังไท่จงได้ทรงแต่งตั้งให้เฟิงถันจง หนึ่งในหลวงจีนที่ร่วมในการสู้รบให้ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพ พร้อมกับพระราชทานแท่นปักธงคู่และสิงโตหิน ซึ่งตั้งอยู่บริเวณอารามหน้าวัดเส้าหลินจนกระทั่งถึงปัจจุบัน รวมทั้งได้ทรงอนุญาตให้หลวงจีนเข้าร่วมฝึกซ้อมแบบทหารร่วมกับกองกำลังทหารในราชสำนัก[19]รวมทั้งให้หลวงจีนสามารถฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และสามารถฉันเนื้อสัตว์ได้[20] จากการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ จากทางราชสำนัก ทำให้วัดเส้าหลินได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศในสมัยซ่งหรือซ้อง
ในปี พ.ศ. 1503 - พ.ศ. 1822 วิชากังฟูเส้าหลินได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงขีดสุด จนถึงสมัยราชวงศ์ชิง ในปี พ.ศ. 2159 - พ.ศ. 2454 และในปี พ.ศ. 2270 หลังการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิหย่งเจิ้งแห่งราชวงศ์ชิงได้ประมาณ 5 ปี จากเหตุผลทางด้านการเมือง ราชสำนักได้เข้ามามีส่วนสำคัญในการลดบทบาทของวัดเส้าหลินลง แม้ว่าหลวงจีนจะถูกห้ามไม่ให้ฝึกกังฟู แต่ยังคงมีการลักลอบแอบฝึกกังฟูกันอย่างลับ ๆ ทั้งในบริเวณวัดและตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้วิชากังฟูเส้าหลินไม่สูญหายไปตามกาลเวลา และได้รับการสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
วัดเส้าหลินดั้งเดิมนั้นถูกจักรพรรดิหยงเจิ้ง ส่งกองทัพมากวาดล้างและเผาทำลาย แต่ถึงอย่างไรก็ตามกังฟูที่มีรากฐานมาจากวัดเส้าหลินแห่งแรกในเทือกเขาซงซาน มณฑลเหอหนาน ได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศจีนและทั่วทุกแห่งในโลก ในส่วนที่ถูกเผาทำลาย ปัจจุบันมีการทำนุบำรุงบูรณะหลายต่อหลายครั้ง ตลอดระยะเวลา 1,500 ปี วัดเส้าหลินการถูกเผาครั้งยิ่งใหญ่จำนวน 3 ครั้งด้วยกัน และตั้งแต่ใน ปี พ.ศ. 2000 มีการปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่ รื้อบริเวณรอบ ๆ ที่ถูกไฟเผาไหม้ ปลูกต้นไม้ มีการสร้างอารามต่าง ๆ ขึ้นใหม่อีกครั้งอย่างสวยงามในปีพ.ศ. 2400
ปัจจุบันในประเทศจีนมีวัดเส้าหลินทั้งหมดสามแห่ง แห่งแรกตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน มณฑลเหอนาน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดพุทธศาสนานิกายเซนและกังฟูเส้าหลิน แห่งที่สองตั้งอยู่ที่เทือกเขาผานซาน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หงวน และแห่งที่สามตั้งอยู่ที่เทือกเขาจิ่วเหลียนซาน มณฑลฮกเกี้ยน เรียก "สำนักเสี้ยวลิ้มใต้"[21] คู่กับ "สำนักเสี้ยวลิ้มเหนือ" ที่เทือกเขาซงซาน สำนักใหญ่ของวัดเส้าหลิน[22] แบ่งออกเป็น 2 สายหลัก ๆ คือสายพระบู๊ซึ่งเป็นสายของการการสืบทอดศิลปะการต่อสู้และกังฟูเส้าหลินของตั๊กม้อ และสายพระวินัยซึ่งเป็นสายที่เน้นการปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพุทธศาสนาเป็นสำคัญ[23]
สถาปัตยกรรม[แก้]
สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ภายในวัดเส้าหลินมีเป็นจำนวนมาก บริเวณด้านหน้าของอารามต้าฉงเป่าเทียน ประกอบด้วยอารามและวิหารหลวงหลายหลัง ซึ่งล้วนแต่เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณ ที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่น อารามตั๊กม้อ, อารามไป๋อี, อารามพระพุทธ, อารามเจ้าอาวาส โดยเฉพาะอารามเจ้าอาวาส เคยใช้เป็นสถานที่สำคัญสำหรับต้อนรับวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซียซึ่งเป็นผู้มีความสนใจส่วนตัวและความเชี่ยวชาญในศิลปะป้องกันตัวหลายแขนง [24] ที่เยือนวัดเส้าหลินอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2549 [25][26]
ภายในอารามหลวงหรืออารามตั๊กม้อ เป็นสถานที่สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวจีนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นิยมเดินทางมากราบไว้สักการบูชา ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต เจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ ภายรอบนอกบริเวณอารามหลวง มีรูปสลักวิชากังฟูเส้าหลินทั้งชายและหญิงในกระบวนท่าต่าง ๆ จำนวน 24 กระบวนท่า โดยแบ่งออกเป็นแต่ละโซนเช่น โซนกระบวนท่าการฝึกขั้นพื้นฐาน ที่แสดงพื้นฐานของกระบวนการฝึกวิชากังฟู โซนกระบวนท่านั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน ที่แสดงความสงบของสมาธิ รวมทั้งศึกษาพระพุทธศาสนา ฯลฯ และรูปปั้นพระโพธิธรรมหรือปรมาจารย์ตั๊กม้อ ผู้ให้กำเนิดวิชากังฟูเส้าหลิน[27]
พื้นที่รอบ ๆ วัดเส้าหลินรายล้อมด้วยป่าเจดีย์จำนวนมากกว่า 200 องค์ ซึ่งใช้สำหรับเป็นสุสานฝังศพของอดีตเจ้าอาวาสและหลวงจีนภายหลังจากมรณภาพ[27] ป่าเจดีย์จำนวนมากนั้น มีรูปแบบและลักษณะที่งดงามแตกต่างลดหลั่นกันไปตามแต่ตำแหน่งและฐานะของผู้ที่เสียชีวิต จัดเป็นแหล่งโบราณสถานที่มีวัตถุก่อสร้างทางด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมอันมีคุณค่า ควรค่าแก่การศึกษาค้นคว้าของประเทศจีน บริเวณด้านหน้าวัดมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และรูปปั้นสัตว์มงคลตามตำนานเทพเจ้าจีนเช่น "ปี่ซี" ซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเคารพบูชาของชาวจีน
ปีซีนั้น มีร่างกายเป็นเต่าแต่มีส่วนหัวเป็นมังกร มีความแข็งแรง ซุกซน และดื้อดึง จึงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฏรชาวจีนเป็นอย่างมาก จนเรื่องทราบถึงเจ้าแม่กวนอิม จึงเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อปราบปรามความซุกซนของปี่ซี ด้วยการใช้แผ่นหินขนาดใหญ่ทับไว้บนหลัง เพื่อให้ฟังพระสวดมนต์และคำสอนของพุทธศาสนา รูปสลักปี่ซีในบริเวณวัดเส้าหลินจึงมักปรากฏอยู่ใกล้ ๆ กับกระถางธูปสำริด ตามความเชื่อแต่โบราณเพื่อให้ปีซีได้กลิ่นธูปและฟังเสียงพระสวดมนต์
ชาวจีนนิยมเดินทางมาวัดเส้าหลิน และขอพรจากปีซีด้วยการใช้มือลูบคลำไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเช่น ถ้าลูบบริเวณส่วนหัวของปีซีเชื่อว่าจะโชคดี ถ้าลูบบริเวณลำคอเชื่อว่าจะปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์และอายุยืนยาว ถ้าลูบไปตามซี่ฟันแหลมคมเชื่อว่าจะมีโชคลาภ อำนาจวาสนาและทรัพย์สิน แต่สำหรับผู้ที่มีบุตรยากหรือต้องการจะมีบุตร ให้ลูบบริเวณทางด้านส่วนหลังของปีซี ซึ่งเชื่อกันว่าจะได้บุตรสมตามความปรารถนา
ปัจจุบันวัดเส้าหลินบนเทือกเขาซงซาน กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจีน ไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในปักกิ่งเช่น พระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน พระราชวังฤดูร้อนอี๋เหอหยวน ฯลฯ ซึ่งนอกจากจะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ชาวจีนเองก็นิยมเดินทางมาเที่ยวชมและสักการบูชาพระพุทธรูปทีวัดเส้าหลินเช่นกัน เนื่องจากตั้งอยู่บนยอดเขาสูง จึงมีอากาศบริสุทธิ์และค่อนข้างหนาวเย็น[27]
วิทยายุทธวัดเส้าหลิน[แก้]
วิทยายุทธวัดเส้าหลิน เป็นการฝึกฝนและเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกายที่ดีที่สุดทางหนึ่งของหลวงจีน เป็นการฝึกฝนเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย เสริมสร้างสมาธิ สติปัญญา ความมีระเบียบวินัยและคุณธรรม มีความรุนแรงในการปะทะเป็นอย่างมาก เกิดจากลมปราณภายในร่างกายที่ผ่านการฝึกมาเป็นเวลานาน สามารถเจาะทะลวงพื้นอิฐให้เป็นรอยยุบได้อย่างง่ายดาย สามารถเพิ่มความรุนแรงในการต่อสู้ด้วยกำลังภายในหรือลมปราณที่หมั่นฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา
จุดเริ่มต้นจากรากฐานของวิทยายุทธ มีความแตกต่างจากสำนักอื่น โดยเฉพาะศิลปะการต่อด้วยสู้มือเปล่า เป็นที่เลื่องลือมากที่สุดในกระบวนท่าทั้งหมด เกิดจากการประยุกต์ขึ้นจากธรรมชาติแวดล้อมผนวกกับวิทยายุทธลมปราณที่เกิดจากการนั่งสมาธิวิปัสสนา กลายเป็นกำลังภายในที่มีองค์ประกอบพื้นฐานอยู่หลายอย่างอันเป็นเอกลักษณ์ได้แก่[28] [29]
- เพลงหมัดอรุโณทัย (อังกฤษ: First Strike) เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าที่มีความรวดเร็วในการโจมตี ซึ่งเร็วกว่าศัตรูเมื่อปล่อยหมัดออกพร้อมกัน
- วิทยายุทธตัวเบาเส้าหลิน (อังกฤษ: Flying) เป็นพื้นฐานเพื่อใช้สำหรับหลบหนีสัตว์ร้ายในป่าเช่น เสือ หมาป่า ที่วิ่งได้เร็วกว่า เมื่อใช้วิทยายุทธตัวเบา ทำให้สามารถลอยตัวกลางอากาศได้ในระยะหนึ่ง
- วิทยายุทธคงกระพันเส้าหลิน (อังกฤษ: Protection) หลวงจีนวัดเส้าหลินมักใช้ว่านชนิดหนึ่งผสมน้ำอาบชำระล้างร่างกายทุกวัน ซึ่งว่านที่ใช้ผสมน้ำอาบนั้นมีสรรพคุณทางป้องกันร่างกายจากอาวุธทุกประเภทได้เป็นอย่างดี
- วิทยายุทธลมปราณ (อังกฤษ: Trample) เกิดจากการกำหนดจิตและกายรวมเป็นหนึ่ง ลมปราณจากการกำหนดพลังแฝงภายในร่างกายจะแสดงออกมาในรูปของเพลงหมัดและเพลงเตะที่มีความหนักแน่นและดุดัน
รากฐานกังฟูเส้าหลิน[แก้]
รากฐานกังฟูเส้าหลินได้แก่ พลังลมปราณและวิทยายุทธ ให้กำเนิดโดยตั๊กม้อ สาเหตุสำคัญของการฝึกกังฟูนอกเหนือจากการเสริมสร้างสมรรถภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว เหตุผลสำคัญอีกประการในการฝึกกังฟู มาจากสถานที่ตั้งของวัดเส้าหลินซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาซงซาน รายล้อมด้วยป่าไม้จำนวนมาก รวมทั้งในป่ารอบ ๆ วัดเส้าหลินมีสัตว์ร้ายนานาชนิด หลวงจีนวัดเส้าหลินจึงจำเป็นที่จะต้องมีการฝึกวิทยายุทธไว้สำหรับต่อสู้ป้องกันตัว และได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาโดยตลอด ซึ่งรากฐานกังฟูวัดเส้าหลินแต่โบราณ มีที่มาจากท่วงท่าการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมของสัตว์เช่น หงเฉวี๋ยน หรือเพลงหมัดตระกูลหงส์ เป็นการเลียนแบบท่าทางของหงส์ เป็นต้น[30]
เพลงมวยหมัดเมา เป็นหนึ่งในเพลงหมัดมวยและกังฟูที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก โดยกฎของทางวัดเส้าหลิน การดื่มสุราและของมึนเมาทุกชนิดเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ท่วงท่าและลีลาของเพลงมวยหมัดเมาที่เดินไม่ตรงทาง เอียงซ้าย เอียงขวา ตัวโก่งงอ บิดเอวและแขนขาไปมา ในขณะที่มือทำท่าราวกับจับไหเหล้าเอาไว้ตลอดเวลา นาน ๆ ครั้งจึงทำท่ายกขึ้นมาด้วยท่าทางราวกับกำลังดื่มกิน พร้อมกับเดินไม่ตรงทาง เซหน้าเซหลังไปมา ตีลังกาหน้าและหลัง ซึ่งลักษณะของคนที่เมาสุราทั้งหมดนี้ รวมทั้งกระบวนท่าต่าง ๆ ที่หลวงจีนทำการฝึกฝน แทบจะไม่ต่างจากบุคลิกและลักษณะท่าทางของคนเมาแม้แต่น้อย เป็นการใช้จินตนาการในการเลียนแบบท่าทางและความรู้สึกของคนเมา ซึ่งแท้จริงแล้วเพลงมวยหมัดเมาเป็นการฝึกกำลังช่วงขาและเอวให้มีความแข็งแรง[28]
พลังเคลื่อนย้ายลมปราณ[แก้]
พลังเคลื่อนย้ายลมปราณ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการฝึกกังฟูเส้าหลิน กำลังภายในเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ต้องกำหนดจิตลมหายใจและประสาท เพื่อรวบรวมพลังลมปราณและเคลื่อนย้ายไปยังจุดที่ต้องการตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ได้มากที่สุด ลมปราณเป็นพลังงานที่ถูกปลดปล่อยออกมาในขณะที่กำลังออกกำลังกายหรือต่อสู้กับศัตรู เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า แต่เป็นพลังแผงที่มีอยู่จริงในร่างกายของมนุษย์ทุกคน[31] สามารถสัมผัสหรือรู้สึกได้ด้วยการเพ่งพิจารณาโดยจิตที่เป็นสมาธิ
คำว่า "กำลังภายใน" หมายถึงแรงที่เกิดจากภายในโดยผ่านการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ ในระหว่างการฝึกจุดสำคัญที่สุดคือต้องระวังให้จิตใจนำการเคลื่อนไหว ใช้จิตไม่ใช้แรง ให้จิตใจเป็นตัวชักนำ ฝึกแปลงลมปราณให้เป็นพลังจิตประสาท การเคลื่อนไหวต้องช้า นุ่มนวลแต่แฝงไว้ด้วยความแข็งแรง ให้ทุกส่วนของกล้ามเนื้อและข้อต่อของร่างกายเคลื่อนไหวไปด้วยกัน ภายนอกเกิดการเคลื่อนไหว ภายในก็เคลื่อนไหวตามไปด้วย การเคลื่อนไหวต้องต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก ผ่อนคลาย สงบและเป็นธรรมชาติ ใช้จิตใจจินตนาการถึงความงดงามของท่วงท่าในการร่ายรำ ควบคุมการหายใจเข้าออกแบบลึกยาว เป็นต้น
การฝึกกำลังภายในไม่ใช่การฝึกเพื่อแสดงถึงพละกำลังภายนอก แต่เป็นการฝึกเพื่อให้แสดงออกถึงกำลังภายในที่อยู่ใน ชาวจีนโบราณมีความเชื่อว่า บนท้องฟ้ามีสิ่งวิเศษสามสิ่งคือพระอาทิตย์ พระจันทร์และดวงดาว ในร่างกายจึงมีของวิเศษสามสิ่งเช่นกันคือ "จิง ชี่ เสิน" หรือพลังชีวิต พลังภายใน พลังจิตประสาท ชีวิตที่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้น ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของจิง ชี่ เสิน ถ้าหากต้องการจะมีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง จึงจำเป็นที่จะต้องทำตนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับฟ้าให้ได้ โดยผ่านการหายใจที่ถูกต้อง[32] การเกิด โต แก่ เจ็บและตาย ล้วนเป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของลมปราณทั้งสิ้น และเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตการเคลื่อนไหวของคน[33]
ลมปราณเป็นพลังที่ดำรงอยู่ในจักรวาลประกอบจากพลังงาน 6 ชนิด ตามความเชื่อของวิชาการแพทย์โบราณของจีน เป็นสิ่งที่ทำให้สามารถเคลื่อนไหวและมีชีวิตอยู่ได้[34] ดังคำพังเพยของจีนที่กล่าวว่า "ชีวิตขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหว" การฝึกเคลื่อนย้ายพลังลมปราณ จะเป็นการฝึกฝนร่างกาย จิตใจและลมหายใจให้ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว[35] เพื่อเค้นเอาพลังแฝงในร่างกายออกมาปรับปรุงเลือดให้สมดุลกลมกลืนกันอย่างสูงสุด รูปแบบการฝึกเป็นแบบเคลื่อนไหวและแบบสงบ ในความสงบมีการเคลื่อนไหว
การฝึกเป็นการนำเอาความสงบเข้ามาควบคุมการเคลื่อนไหว ประสานจิตและลมหายใจเพื่อเค้นลมปราณในร่างกายให้เกิดการไหลเวียน ทำให้เกิดความร้อน ส่งผลให้ร่างกายได้รับการนวดคลึง ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในหลอดเลือดมีการขยายตัว เกิดกระแสไฟฟ้าบนผิวหนัง ต่อมน้ำลายจะซึมออกมามากขึ้น การเคลื่อนไหวของแขนและขาจะแข็งแรงขึ้นกว่าปกติ 3-4 เท่า อวัยวะภายในช่องท้องเช่นกระเพาะอาหารและลำไส้ถูกกระตุ้นให้มีการบีบตัว หยินและหยางมีดุลยภาพ เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง[33]
หลักทฤษฎีพื้นฐานของกังฟูคือ "จิตใจชักนำพลัง จิตใจและพลังเคลื่อนตามกัน" หมายความถึงเมื่อร่างกายเคลื่อนไหว จิตใจจะเป็นตัวชักนำพลังลมปราณให้เคลื่อนย้ายไหลเวียนไปทั่ว บนล่างสอดคล้องกัน นอกในประสานกัน รากอยู่ที่ขา เกิดที่น่อง บงการไปที่เอว ลักษณะเหมือนกับการร่ายรำ จิตใจก็จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามไปด้วย ดั่งคำกล่าวที่ว่าจิตประสาทเป็นแม่ทัพ ร่างกายอยู่ใต้บังคับบัญชา การเคลื่อนไหวและจิตใจต้องหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียว ทำให้สามารถรวบรวมลมปราณไว้ยังจุดที่ต้องการตามส่วนต่าง ๆ ได้ตามต้องการ[33]
การฝึกฝนร่างกายของหลวงจีน เพื่อให้สามารถใช้ลมปราณได้นั้น มีวิธีการฝึกฝนอยู่สองแบบคือการฝึกกำลังภายในและการฝึกกำลังภายนอก การฝึกกำลังภายในการคือการฝึกหัดกระบวนท่าวิชาหมัดมวยและพลังลมปราณในการร่ายรำท่วงท่าต่าง ๆ ตามคำสอนของตั๊กม้อ การฝึกกำลังภายนอกคือการฝึกหัดกังฟู ฝึกเส้นเอ็น กระดูกและผิวหนัง รวมทั้งศิลปะการต่อสู้และอาวุธทุกชนิด ซึ่งการฝึกกำลังภายในทั้งสองประเภท ทางการแพทย์โบราณของจีนถือว่า พลังลมปราณคือวัตถุธาตุมูลฐานที่ทำให้ร่างกายของมนุษย์สามารถเคลื่อนไหวได้ การที่หลวงจีนผ่านการฝึกพลังชีวิตแปลงธาตุเป็นพลังภายใน ฝึกพลังภายในแปลงธาตุให้เป็นพลังจิตประสาท ฝึกพลังจิตประสาทให้แข็งแกร่ง เน้นการฝึกจิตประสาทและร่างกายให้เป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นพลังเคลื่อนย้ายลมปราณ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงเกินกว่าที่มนุษย์ปกติจะทำได้
กังฟูเส้าหลิน[แก้]
กังฟู หมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการใช้เทคนิคในการเข้าปะทะต่อสู้เป็นสำคัญ มีรูปแบบการร่ายรำ วิทยายุทธและชั้นเชิงในการต่อสู้เป็นหลัก ในการฝึกกังฟูเส้าหลินจะมีหลักศิลปะกายบริหารที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ โดยมุ่งเน้นการประสานพลังภายในและภายนอกซึ่งเป็นจุดเด่นโดยเฉพาะ เป็นการถ่ายทอดวิชาแบบโบราณจากรุ่นสู่รุ่นมานานกว่าพันปี การฝึกกังฟูควบคู่กับการศึกษาพระธรรมของหลวงจีนวัดเส้าหลิน ไม่ได้เป็นการฝึกฝนไว้เพื่อต่อสู้หรือทำร้ายผู้อื่น แต่เป็นการฝึกเพื่อให้เข้าถึงธรรมะและเป็นอีกทางที่เข้าสู่พระธรรม ทำให้มีสมาธิเพิ่มมากขึ้น มีความรู้กว้างขวาง ทำสมาธิเพื่อให้จิตใจโล่งและสงบทำให้เข้าถึงแก่นธรรมได้มากขึ้น[28]
ภายหลังจากที่ตั๊กม้อได้เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนานิกายเซนในจีนและพำนักที่วัดเส้าหลิน ได้สังเกตเห็นว่าการที่หลวงจีนแต่ละองค์มีร่างกายอ่อนแอ ไม่แข็งแรง เมื่อนั่งสมาธิวิปัสสนากรรมฐานนาน ๆ มักเกิดอาการปวดเมื่อย อาจทำให้สุขภาพร่างกายเกิดการเสื่อมถอยเนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกาย จึงคิดค้นวิชากังฟูและเพลงหมัดมวยขึ้น โดยพิจารณารากฐานจากท่วงท่าและกิริยาของสรรพสัตว์น้อยใหญ่ในป่าบนเทือกเขาซงซาน นำมาดัดแปลงเป็นกระบวนท่าต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อให้หลวงจีนได้ฝึกฝน ภายใต้การเคลื่อนไหวร่างกายและความสงบนิ่ง เพาะบ่มจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อเข้าถึงแก่นของธรรมะ และนำไปใช้ในการป้องกันตัว[36]
วิชากังฟูในยุคแรกเริ่มจากกระบวนท่าพื้น ๆ จากเหล่าสรรพสัตว์ที่สามารถพบเห็นได้เช่น เสือที่ดึงเอาลักษณะเฉพาะในการล่าเหยื่อ กวางที่ดึงเอาลักษณะเฉพาะในการเดิน ลิงที่ดึงเอาลักษณะเฉพาะในการเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว นกที่ดึงเอาลักษณะเฉพาะในการลอยตัวอยู่กลางอากาศ และหมีที่ดึงเอาลักษณะเฉพาะของความแข็งแรง บึกบึนในการต่อสู้[28] และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่กระบวนท่าอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นหลังจากตั๊กม้อถ่ายทอดวิชากังฟูให้แก่หลวงจีนควบคู่กับการปฏิบัติธรรม กิจวัตรประจำวันหลังจากทำวัตรเช้า ทำสมาธิสวดมนต์เสร็จสิ้น หลวงจีนวัดเส้าหลินทุกองค์ ต่างฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงด้วยการรำเพลงมวย และฝึกกังฟูมาเป็นเวลานานกว่าพันปีจนถึงปัจจุบัน[28]
การฝึกของหลวงจีนจะเริ่มฝึกในช่วงเช้าตรู่ของแต่ละวัน ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการศึกษาและท่องพระธรรม และในขณะเดียวกันใช้ช่วงเวลาเช้า 2 ชั่วโมง และช่วงบ่ายอีก 2 ชั่วโมงในการฝึกกังฟู โดยคงรูปแบบกระบวนท่าต่าง ๆ จากวัฒนธรรมการฝึกดั้งเดิมของกังฟูเส้าหลิน จากประวัติที่บันทึกกระบวนท่าทั้งหมด 708 ชุด โดยที่หลวงจีนสามารถที่จะเลือกฝึกเพียงบางกระบวนท่าเท่านั้น ยกเว้นการฝึกขั้นพื้นฐานคือเพลงหมัดวัดเส้าหลิน ในส่วนของเพลงหมัดมวย ยังคงเอกลักษณ์สำคัญที่การดัดแปลงท่วงท่ามาจากสัตว์นานาชนิดหลากหลายรูปแบบ โดยกระบวนท่าที่ได้รับความนิยมคือ เพลงหมัดพยัคฆ์ เพลงมวยเหยี่ยว เพลงหมัดตั๊กแตนสวดมนต์ เพลงหมัดกระเรียนขาว เพลงหมัดเสือดาว เพลงหมัดราชสีห์ เพลงมวยนาคี เพลงมวยมังกร[28] ฯลฯ ซึ่งในการฝึกเพลงหมัดมวยนั้นจะได้ทั้งพละกำลังภายนอกภายในและการสงบจิตใจตามมาด้วย
การฝึกกังฟูในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บท่ามกลางหิมะ เป็นหนึ่งในกิจกรรมปกติของหลวงจีน ความยากลำบากในการฝึกฝน ถือเป็นการเพาะบ่มจิตใจและร่างกายให้แข็งแกร่ง การนั่งทำสมาธิท่ามกลางหิมะ ถือเป็นการฝึกบำเพ็ญตบะอย่างหนึ่ง ตามวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของวัดเส้าหลิน ถ้าหลวงจีนองค์ไหนนั่งทำสมาธิสาย หรือไม่สามารถทำสมาธิได้ จะถูกลงโทษด้วยการให้นั่งคุกเข่าบนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ จนกว่าจะหมดธูปหนึ่งก้าน[37] ในประเทศจีนกังฟูเส้าหลินมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก กังฟูหลายอย่างในจีนล้วนแต่มีต้นกำเนิดมาจากวัดเส้าหลินแทบทั้งสิ้น รวมถึงเพลงหมัดมวยที่ปรากฏในภาพยนตร์จีนกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งมักปรากฏภาพหมัดนกกระเรียนขาว หมัดมังกรเส้าหลินเหนือ กระบวนท่าเพลงหมัดมวยของเส้าหลินเหนือมักเน้นการเตะต่อยเป็นหลัก ในขณะที่เส้าหลินใต้เน้นกระบวนท่าที่ใช้ฝ่ามือจู่โจม เพลงหมัดมวยเด่น ๆ เช่นหมัดเสือดำ หมัดนกกระเรียนของวัดเส้าหลิน แท้จริงแล้ววิชากังฟูไม่มีการแบ่งแยกเป็นฝ่ามือและเท้า กังฟูของตั๊กม้อเป็นวิชาที่ใช้ในการต่อสู้จู่โจมพร้อมกันด้วยหมัด มือและฝ่าเท้า
กระบวนท่าและเพลงหมัดมวย[แก้]
กระบวนท่าและเพลงหมัดมวยเส้าหลิน เป็นกระบวนท่าที่ช่วยทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเกิดความแข็งแรง ลักษณะและท่วงท่าในการร่ายรำกังฟูของตั๊กม้อ จะมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกเป็นหลัก เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มีจุดเด่นอยู่ที่รูปแบบการร่ายรำที่เหยียดกว้าง แกร่งกร้าว เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความดุดัน เคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่เรียบง่าย มีกระบวนท่าการรุกและรับได้ทั้งแปดทิศ สามารถใช้ในการต่อสู้ได้เป็นอย่างดี เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในแวดวงยุทธจักร ปรากฏให้เห็นในนิยายกำลังภายในและภาพยนตร์เช่น
- กระบวนท่าการจี้สกัดจุด เป็นการฝึกการใช้นิ้วจี้ตามจุดสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของระบบประสาทภายในร่างกาย ทำให้คู่ต่อสู้เกิดเป็นอัมพาตชั่วขณะ ไม่สามารถขยับร่างกายได้ การจี้สกัดจุดจะทำให้เลือดภายในร่างกายถูกปิดกั้นการไหลเวียนชั่วขณะ ทำให้เกิดอาการชาเป็นลำดับและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา[38]
- กระบวนท่าวิชาตัวเบา เป็นการฝึกที่ทำให้ร่างกายเบาและว่องไวราวกับปุยนุ่น กระบวนท่านี้เป็นเทคนิคการฝึกฝนร่างกายเพื่อให้สามารถกระโดดหรือปีนไต่กำแพงได้อย่างคล่องแคล่ว
- กระบวนท่าพลังดัชนี เป็นการฝึกฝนให้นิ้วมีความแข็งแรงด้วยการฝึกทิ่มแทงทะลวงต้นกล้วย ต้นไม้ อิฐตลอดจนถึงกำแพงและก้อนหินขนาดใหญ่
- กระบวนท่ากำลังภายใน เป็นกระบวนท่าพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการฝึกกังฟูโบราณ ทุกกระบวนท่าของตั๊กม้อมีจุดสำคัญคือพลังลมปราณหรือกำลังภายใน ทักษะในการต่อสู้หรือการฝึกกังฟูต้องมีจุดเริ่มต้นจากสมาธิและจิตใจที่สงบนิ่งตลอดเวลา มีการควบคุมและฝึกฝนกำหนดลมหายใจให้แผ่วเบาอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อสามารถควบคุมลมหายใจและสมาธิได้สำเร็จ ก็สามารถรวบรวมพลังให้เป็นหนึ่งเดียวในการต่อสู้หรือฝึกฝนกังฟูได้อย่างง่ายดาย
สำหรับเพลงหมัดมวย จากหลักฐานตามตำนานจีนโบราณที่ปรากฏเป็นภาพแกะสลักไม้ของกระบวนท่าวิทยายุทธเส้าหลิน มีการกล่าวถึงถึงเพลงหมัดมวยหรือกระบวนท่ามือเปล่าอยู่ถึง 72 กระบวนท่า[39] เช่น เพลงหมัดยาวเส้าหลิน เพลงหมัดอรหันต์ เพลงหมัดพลังกรงเล็บมังกร เพลงมวยหมัดเมา ซึ่งมีลักษณะพิเศษและรูปแบบเฉพาะตัว เป็นวิทยายุทธที่ใช้หลักการเคลื่อนไหวเป็นรูปวงกลม
แต่ละกระบวนท่าเป็นการประสานร่างกายอย่างต่อเนื่องและกลมกลืน ลำตัวคล่องแคล่ว ฝ่ามือและเท้าว่องไวด้วยวิธีก้าวพลางเปลี่ยนแปลงไปพลางอยู่เสมอเช่น การคว้า การจับกด การปล้ำและคลุกวงในคู่ต่อสู้ รวมแล้วทั้งหมด 255 กระบวนท่าเพลงหมัดมวยและกระบวนท่าอาวุธที่ใช้ฝึกในปัจจุบัน[40] นอกจากการฝึกกระบวนท่ากังฟูโบราณและเพลงหมัดมวยแล้ว หลวงจีนยังต้องศึกษาและเรียนรู้ที่จะใช้อาวุธต่าง ๆ ในการต่อสู้และป้องกันตัวเองอีกด้วย อาวุธที่ใช้สำหรับในการฝึกกังฟูของวัดเส้าหลินมีมากมายหลากหลายชนิดเช่น ดาบ ธนู ง้าว หอก ทวน เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น